HIGHLIGHTS
จังหวะการวิ่ง ที่เหมาะสมของตัวเอง จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการวิ่งดีขึ้น วิ่งเร็วขึ้น เเละวิ่งได้นานยิ่งขึ้น
การฝึกจังหวะในระยะแรกต้องใช้สมาธิอย่างมาก แต่หากมีการฝึกฝนจนร่างกายสามารถจดจำจังหวะหายใจจน
สอดคล้องได้อย่างเหมาะสม ผู้ฝึกจะสัมผัสได้ถึงความพลิ้วไหว ความเหนื่อยลดลง วิ่งได้สบาย และวิ่งได้ทนขึ้น
ปัจจุบันการวิ่งเป็นกิจกรรมที่เห็นทั่วไปตามสวนสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าหรือเย็น อีกทั้งยังมีการจัดงาน
วิ่งขึ้นมากมาย บรรดานักวิ่งจึงมีสนามให้ได้ทดลองความเร็วและความอดทน อีกทั้งยังมีเทคนิคต่างๆ
ที่เหล่านักวิ่งต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้และให้ความสำคัญ
“ จังหวะการวิ่ง ” เป็นอีกหนึ่งเทคนิคการวิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งเลเวลไหนก็ควรใส่ใจรับรู้ เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพการวิ่งของตัวเองดีขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ลดความเครียด รวมถึงรู้สึกเคลื่อนตัวได้พลิ้วไหวไม่ติดขัด
หา จังหวะการวิ่ง ของตัวเองให้เจอ
จังหวะการวิ่ง คือการควบคุมการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่วิธีการก้าวเท้า
ความยาวของช่วงก้าว การแกว่งแขน และที่สำคัญคือจังหวะการวิ่งที่สัมพันธ์กับระบบการหายใจ
ซึ่งหากนักวิ่งสามารถสร้างจังหวะที่เหมาะสมของตัวเองได้ดี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการวิ่งดีขึ้น
วิ่งเร็วขึ้น เเละวิ่งได้นานยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการใช้ปอดและกล้ามเนื้อกระบังลมได้อย่างพอเหมาะ
ทำงานสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถควบคุมการใช้พลังงานระหว่างวิ่ง
เกิดการผ่อนคลาย และลดความเครียด
จังหวะการวิ่ง ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของนักวิ่งแต่ละคน ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การเรียนรู้และสร้าง
จังหวะที่เหมาะสมของตัวเอง รวมถึงการฝึกซ้อมที่สม่ำเสมอ
ปกติขณะวิ่งคนส่วนใหญ่มักหายใจด้วยจังหวะแบบ 2-2 กล่าวคือการหายใจเข้า 2 ออก 2 ตามจังหวะ
การวางเท้าสลับซ้ายขวา เช่น หายใจเข้าขณะเท้าขวาแตะพื้นนับ 1 เมื่อเท้าซ้ายแตะพื้นนับ 2 จากนั้น
หายใจออก 1 พร้อมๆ กับวางเท้าขวา แล้วนับ 2 ขณะวางเท้าซ้าย ซึ่งเมื่อถึงจังหวะเริ่มเข้า
และออกจะเป็นจังหวะเดียวกับที่วางเท้าขวาเสมอ และนับ 2 เมื่อวางเท้าซ้ายเสมอ จังหวะแบบนี้
ทำให้เกิดแรงจากกระบังลมเพียงด้านเดียวคือด้านขวา เนื่องจากเกิดแรงกระแทกเป็นจังหวะหายใจเข้า
และออกจากด้านขวาเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อฝึกให้ได้ใช้กระบังลมได้เท่ากันทั้ง 2 ด้าน จึงมีการพัฒนาจังหวะการวิ่งให้สัมพันธ์กับ
ระบบหายใจแบบ 3-2 ขึ้น โดยให้ช่วงหายใจเข้ามีการลงเท้า 3 ครั้ง และหายใจออก 2 ครั้ง
เป็นการป้องกันภาวะบาดเจ็บจากแรงกระแทกด้านเดียวได้ดีขึ้น เนื่องจากขณะหายใจเข้า
กล้ามเนื้อจะมีการหดตัว และเมื่อหายใจออกกล้ามเนื้อจะยืดตัวออก โดยนักวิ่งสามารถฝึกได้ดังนี้
หายใจเข้า 3
1.จังหวะก้าวเท้าขวาแตะพื้นหายใจเข้านับ 1
2.ก้าวเท้าซ้ายนับ 2
3.สลับกลับมาก้าวเท้าขวานับ 3
หายใจออก 2
1.จากนั้นจึงเป็นจังหวะหายใจออก โดยก้าวเท้าซ้ายนับ 1
2.ก้าวเท้าขวานับ 2
วนกลับมาหายใจเข้า 3
1.สลับกลับมาก้าวเท้าซ้ายนับ 1
2.ก้าวเท้าขวานับ 2
3.ก้าวเท้าซ้ายนับ 3
หายใจออก 2
1.จากนั้นจึงเป็นจังหวะหายใจออกอีกครั้ง ด้วยการก้าวเท้าขวานับ 1
2.ก้าวเท้าซ้ายนับ 2
ทำสลับวนไปเรื่อยๆ จนเป็นจังหวะที่ลงเท้าซ้ายขวา หายใจเข้าและออก ที่สามารถลงเท้าทั้ง 2 ข้าง
หายใจด้วยแรงกระแทกทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน ซึ่งการฝึกในระยะแรกอาจสร้างความยุ่งยากหรือต้อง
ใช้สมาธิอย่างมาก แต่หากมีการฝึกฝนจนร่างกายสามารถจดจำจังหวะหายใจจนสอดคล้องได้
อย่างเหมาะสม ผู้ฝึกจะสัมผัสได้ถึงความพลิ้วไหวมากขึ้น ความเหนื่อยลดลง วิ่งได้สบาย
และเป็นการ ฝึกวิ่งให้ทน ขึ้นอย่างมาก
ปรับจังหวะการวิ่งสนุกๆ ไปกับจังหวะเพลง
นอกจากการปรับจังหวะการวิ่ง ตามแบบมืออาชีพแล้ว การหาจังหวะเพลงสนุกๆ มาช่วยให้
นักวิ่งแต่ละคนมีจังหวะของตัวเอง รวมถึงสร้างความเพลิดเพลินและไม่จำเจ
การใช้เสียงเพลงเข้ามาช่วย จะสามารถสร้างจังหวะซ้ำๆ ช่วยให้ร่างกายชินในความเร็วดังกล่าว
ซึ่งหากใช้เพลงช้าขณะวิ่งจังหวะการวิ่งก็จะช้าไปด้วย หากอยากวิ่งเร็วขึ้น
ก็ปรับเสียงเพลงให้เร็วและสนุกขึ้น
การหา จังหวะการวิ่ง ของตัวเองให้เจอ ถือเป็นความสำคัญในการควบคุมความเร็วให้สม่ำเสมอ
อีกทั้งยังสามารถเพิ่มความเร็วและความอดทนในการวิ่งมากขึ้นได้หากฝึกซ้อมจนมีพัฒนาการที่ดี
อย่างไรก็ตาม นอกจากทำความรู้จักกับเทคนิคการวิ่งต่างๆ แล้ว นักวิ่งจำเป็นต้องรู้จักสภาพร่างกาย
ของตนเองอย่างแท้จริง ควบคู่ไปกับการ ฝึกวิ่งให้ทน ฝึกซ้อมอย่างตั้งใจและสม่ำเสมอ
วิ่งแบบมืออาชีพด้วยจังหวะ 3-2