วิ่งอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพดี
   1.วิ่งอย่างไรจึงเรียกว่าถูกวิธีและปลอดภัยจากการบาดเจ็บ

        หัวข้อนี้อาจใช้เวลาสักหน่อยเพราะมีความสำคัญ หลักการเบื้องต้น
   ที่ถือว่าเป็นหัวใจของการออกกำลังกาย คือ การอบอุ่นร่างกายก่อนและผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง
   (Warm up & Cool down) ซึ่งจำเป็นต้องยืดกล้ามเนื้อที่ใช้มากๆ คือ กล้ามเนื้อน่อง ซึ่งจะป้องกัน
   ตะคริวได้เป็นอย่างดีรวมกับกล้ามเนื้อต้นขา,กล้ามเนื้อหลังและสะโพกส่วนล่าง ส่วนกล้ามเนื้อ
   แขนและไหล่ก็สำคัญรองลงมา หลังจากนั้นก็วิ่งเหยาะๆก่อน แต่ก่อนจะลงสนามคงต้องไม่ลืมที่จะ
   แต่งตัวให้เหมาะสมก่อน ซึ่งบางคนก็ทราบแล้วแต่ส่วนมือใหม่ ขอแนะนำดังนี้ครับ

      1.เสื้อผ้า เลือกตามสภาพอากาศโดยทั่วไปเลือกให้เบา,ระบายเหงื่อได้ดีและแห้งเร็ว
      2.รองเท้า แนะนำเลือกซื้อรองเท้าวิ่งโดยเฉพาะ และถ้าเสริมด้วยยางรองส้นเท้า
   ด้วยก็จะเยี่ยมเลยและอย่าลืมถุงเท้า เพื่อลดการเสียดสีที่ทำให้นิ้วเท้าพองได้

   ขั้นตอนการเริ่มออกกำลังกาย

       1.เลือกสนามวิ่งที่นุ่ม เช่น สนามหญ้าแล้วค่อยเปลี่ยนไปวิ่งสนามที่แข็งขึ้น
       2.ยืดกล้ามเนื้อก่อนและหลังวิ่ง
       3.แนะนำให้เดินเร็วก่อนแล้วค่อยวิ่งเหยาะๆสักช่วงหนึ่งก่อน
   แล้วจึงวิ่งเร็วขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับการกระตุ้นและเริ่มคุ้นเคยกับการรับน้ำหนักที่มากกว่าการเดินปกติ
       4.ขณะวิ่งถ้ามีการผิดปกติ เช่นเวียนศีรษะ,เจ็บบริเวณส่วนต่างๆให้หยุดพัก
       5.ถ้ามีเพื่อนวิ่งด้วยก็จะดี เผื่อว่าเรามีการบาดเจ็บระหว่างการวิ่ง
   จะได้ช่วยดูแลกันได้

   เทคนิคการวิ่ง

        1.การลงเท้า มีความสำคัญมาก โดยส่วนใหญ่
   คนที่วิ่งเพื่อสุขภาพจะแนะนำให้ลงส้นเท้าก่อน
        2.การเคลื่อนไหวของแขน จะช่วยในการทรงตัวโดยแขน
   จะแกว่งไปแนว หน้า-หลัง อย่าเกร็งหรือหนีบแขนไว้แนบลำตัว, กำมือหลวมๆ
        3.การหายใจ หายใจเข้าทางจมูก และหายใจออกทางจมูก
   และปาก ถ้าเราสามารถฝึกการหายใจเข้าอกขยายและหายใจออกแขม่วท้องได้ก็จะดีมาก บางครั้ง
   อาจให้จังหวะกับตัวเอง เช่น 1, 2, 3; 1, 2, 3 เป็นต้น

   2.มีโรคอะไรบ้างที่เกิดได้จากการวิ่ง หรือเป็นโรคที่พบได้บ่อยอันมีสาเหตุมาจากการวิ่ง

        ส่วนใหญ่จะพบปัญหาช่วงล่างตั้งแต่ หลัง สะโพก ต้นขา
   เข่าน่อง ข้อเท้า และฝ่าเท้า กลุ่มอาการกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอักเสบ เช่นเส้นเอ็นสะโพกและ
   ต้นขาอักเสบ ตะคริวบริเวณกล้ามเนื้อน่อง รอยช้ำเนื้อเยื่อส้นเท้าอักเสบ และการบาดเจ็บ
   ข้อเคล็ดที่ข้อเข่า และข้อเท้า

   3.สัญญาณเตือนของร่างกาย จากการออกกำลังกายโดยการวิ่ง

        ข้อนี้สำคัญมากโดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือ
   ผู้สูงอายุคงต้องอาศัยการสังเกตด้วยตนเองเป็นหลัก ซึ่งแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน ดังนี้

     1.อาการหน้ามืดและวิงเวียน บ่งบอกถึงการที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
     2.อาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อหรือปวดข้อต่อบ่งบอกถึงกล้ามเนื้อและข้อต่อรับแรงกระแทกมากเกินไป
     3.รู้สึกอ่อนเพลียมากระหว่างวันหลังการออกกำลังกายบ่งบอกถึงการที่ออกกำลังกายมากเกินไป
   ที่ร่างกายจะรับได้
     4.ไม่สามารถสนทนาพูดคุยได้ขณะออกกำลังกาย บ่งบอกถึง การที่เราหายใจไม่ทัน
   หรือไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆต่อได้ บ่งบอกถึง การออกกำลังกายมากเกินที่ร่างกายจะรับไหว
     5.มีอาการป่วยบ่อยๆบ่งบอกถึงการออกกำลังกายหักโหมทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง

   4.ข้อห้ามสำหรับบุคคลที่ไม่ควรเลือกออกกำลังกายโดยการวิ่ง

        โดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่มีข้อห้ามชัดเจนว่าห้ามบุคคลใด
   วิ่งออกกำลังกายแต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนไม่หักโหมจนเกินไปและต้องระมัดระวัง ในกรณีต่อไปนี้

        1.ผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะ โรคความดันโลหิตสูง,
   โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคไตเสื่อม โรคหอบหืด
        2.โรคอ้วน เริ่มจากการเลือกรองเท้า, สนามที่นุ่ม
   ออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไปและสังเกตตัวเองว่าปวดตามข้อต่อหรือไม่

   5.ข้อแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับเคล็ดลับการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพดี

        1. “เริ่มต้น” ตั้งแต่บัดนี้ (สำคัญที่สุด)
        2. “ทีละน้อย” ค่อยๆทำ
        3. “มองตัวเองว่าผิดปกติอะไร”
        4. “ทำสม่ำเสมอ” อย่างน้อย 3 ครั้ง/ สัปดาห์
        5. “อย่าลืมดื่มน้ำ” ดื่มทีละนิดเป็นช่วงๆ
        6. “งดอาหารก่อนออกกำลังกาย” ก่อนออกกำลังกาย
   ไม่ควรทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อป้องกันอาการจุกเสียด
        7. “พักผ่อนให้เพียงพอ” เพื่อการฟื้นฟูและพร้อมกับการ
   ออกกำลังกายต่อไป

        หวังว่าเนื้อหาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์และเป็นจุดเริ่มต้นให้กับ
   ผู้อ่านที่คิดจะหันมาดูแลสุขภาพตนเองและผู้อื่นโดยการออกกำลังกาย